Sunday, March 29, 2009

วิรุณจำบัง

วิรุณจำบัง รบกับ ทหารวานร ของ พระราม แล้วถูกหนุมานฆ่าตาย


ทศกัณฐ์ให้ไปเชิญสัทธาสูรและวิรุณจำบังมาช่วยรบ

ทศกัณฐ์คิดได้ว่ามีเพื่อนรักชื่อ สัทธาสูรเจ้ากรุงอัสดงค์กับวิรุญจำบังลูก พระยาทูษณ์ผู้นัดดา ทั้งสองมีฤทธาศักดานุภาพแปลงกายหายตัวได้ จึงมีคำ สั่งให้มโหทรแต่งพระราชสาร เชิญสัทธาสูรสหายรักและวิรุญจำบังมาช่วยรบกับ รามลักษณ์

จึ่งให้อาลักษณ์เขียนสาร ลงในลานทองฉายฉัน
เสร็จใส่กล่องแก้วแพรวพรรณ ปิดตราสำคัญอสุรี
แล้วจึ่งสั่งให้เสนา ชื่อว่านนทจิตรยักษี
ไปยังอัสดงค์ธานี โดยมีพระบัญชาการ
ให้นนทไพรีรีบไป กรุงไกรจารึกราชฐาน
หาวิรุญจำบังขุนมาร เป็นการร้อนเร่งให้รีบมา

เมื่อ ทั้งสองทัพมาถึงกรุงลงกา ก็ขึ้นเฝ้าทศกัณฐ์ทันที พอเห็นพระสหายรักและ หลานมาก็ดีใจดังใครเอาน้ำอมฤตมารดทรวง ลงจากแท่นแก้วตรงเข้าจูงมือขึ้น ร่วมอาสน์ ปราศรัยกันไปมาทศกัณฐ์เล่าให้ฟัง ท้าวสัทธาสูรพอได้ยินดัง นั้นก็ว่า
"เหม่ เหม่ ไอ้พิเภกทรยศ เพราะมันบอกกลศึกลึก ซึ้งให้แก่สองมนุษย์ มันจึงบังอาจฮึดฮัดอวดหาญ พระสหายอย่ากลัว เลย เราจะสังหารผลาญชีวิตมันเสีย รวมทั้งไอ้พิเภกทรยศด้วย"

ส่วน วิรุญจำบังก็ว่า "อันสงครามครั้งนี้ไม่ธรรมดา หลานจะกำบังกายไปถือหอก เข้าไล่ราวีแทงเสียให้สิ้นกองทัพ พระองค์อย่าได้วิตกไปเลย"
ทศกัณฐ์ได้ฟังดังนั้นก็ลูบหลังแล้วว่า
"เจ้าผู้ทรงฤทธิ์แผ่นดินใหญ่ ปรีชา เคล่าคล่องว่องไว ทำได้ดั่งนี้ประเสร็ฐนัก แม้นเสร็จสงครามใน ลงกา ปิตุลาจะให้ผ่านอาณาจักร สืบในสุริย์วงศ์พงศ์ยักษ์เป็นหลักโลกา ธาตรี"
สัทธาสูรและวิรุญจำบังถูกหนุมานฆ่าตาย





วิรุณจำบังเป็นโอรสของพญาทูษณ์กษัตริย์เมืองจารึกองค์ที่ ๑ โอรสองค์ที่ ๕ ของท้าวลัสเตียนกับนางรัชฎา น้องชายร่วมบิดามารดาของทศกัณฐ์ วิรุณจำบัง มีม้าทรงคู่ใจตัวดำปากแดงชื่อ นิลพาหุ ซึ่งสามารถหายตัวได้ทั้งตนและม้า วิรุณจำบังรับอาสาทศกัณฐ์ยกทัพไปทำสงครามกับพระรามและพลวานรซึ่งกำลังมุ่ง หน้ามาที่กรุงลงกาเพื่อทวงนางสีดาคืน โดยไปสมทบกับทัพของท้าวสัทธาสูร เจ้าเมืองอัสดง สหายอีกตนของทศกัณฐ์ซึ่งต่อมาก็ถูกหนุมานฆ่าตาย เมื่อวิรุญจำบังไปรบ พลยักษ์ถูกพลวานรฆ่าตายหมด วิรุญจำบังผู้เป็นแม่ทัพจึงร่ายเวทย์กำบังตัวเองและม้า เข้าไปสังหารฝ่ายวานรล้มตายเป็นจำนวนมาก พระรามเห็นความไม่ชอบมาพากลจึงตรัสถามพิเภก พิเภกตอบว่าขณะนี้วิรุญจำบังใช้เวทย์หายตัวเข้ามาในกองทัพพิเภกถวายคำแนะนำ ให้พระรามแผลงศรไปฆ่าม้านิลพาหุเสีย เมื่อพระรามแผลงศรพรหมาสตร์ออกไปถูกม้าทรงของวิรุญจำบังตาย วิรุญจำบังเห็นว่าสู้ไม่ได้จึงคิดหนี โดยร่ายเวทย์เสกผ้าโพกศีรษะเป็นหุ่นพยนต์ซึ่งมีรูปกายเหมือนตนไม่ผิดเพี้ยน แล้วหลบหนีไปจนพบนางวานรินทร์ที่ ในถ้ำกลางป่า นางวานรินทร์แนะให้ไปซ่อนตัวอยู่ในฟองน้ำที่นทีสีทันดร ฝ่ายพระรามทรงรู้กลศึก แผลงศรเป็นตาข่ายเพชรทำลายรูปนิมิต แล้วสั่งให้หนุมานติดตาม ไปสังหาร หนุมานติดตามมาจนได้พบนางวานรินทร์เข้าเกี้ยวพาราสี และทราบว่าเป็นนางฟ้าที่ถูกสาปที่ทำผิดเนื่องจากมีหน้าที่รักษาประทีป แล้วปล่อยให้ประทีปดับ และจะพ้นคำสาปเมื่อได้พบทหารเอกของพระราม เมื่อนางวานรินทร์บอกที่ซ่อนของวิรุญจำบังแล้วจึงส่งนางกลับขึ้นสู่สวรรค์ หนุมานตามไปสังหารวิรุญจำบังได้สำเร็จ



ภาพบน วิรุณจำบัง ทหารยักษ์ หลานทศกัณฐ์
Links;

Sunday, February 1, 2009

Vayu - Wikipedia, the free encyclopedia

Vayu - Wikipedia, the free encyclopedia: "In Hinduism Vayu (Sanskrit: वायु, IAST: Vāyu; Malay: Bayu, Thai: Phra Pai) is a primary deity, the father of Bhima and the spiritual father of Lord Hanuman. He is also known as Vāta वात, Pavana पवन (meaning the Purifier)[2], or Prāna. In the hymns, Vayu is described as having 'exceptional beauty' and moving noisily in his shining coach, driven by two or forty-nine or thousand white and purple horses. A white Banner is his main attribute. [3]

As the word for air, (Vāyu) or wind (Pavana) is one of the Panchamahābhuta or five great elements. The Sanskrit word 'Vāta' literally means 'blown', 'Vāyu' 'blower', and 'Prāna' 'breathing' (viz. the breath of life, cf. the *an- in 'animate'). Hence, the primary referent of the word is the 'deity of Life', who is sometimes for clarity referred to as 'Mukhya-Vāyu' (the chief Vāyu) or 'Mukhya Prāna' (the chief of Life).

Sometimes the word 'vayu,' which is more generally used in the sense of the physical air or wind, is used as a synonym for 'prāna'.[4] There is however a separate set of five deities of Prāna (vital breath), Mukhya-Prāna being chief among them, so that, in Hindi and other Indian languages, someone's death is stated as 'his lives departed' (uske prān nikal gaye) rather than 'his life departed.' These five Vāyu deities, Prāna, Apāna, Vyāna, Udāna, and Samāna, control life (and the vital breath), the wind, touch/sensation, digestion, and excretion.

In the Upanishads, there are numerous statements and illustrations of the greatness of Vāyu. The Brhadaranyaka states that the gods who control bodily functions once engaged in a contest to determine who among them is the greatest. When a deity such as that of vision would leave a man's body, that man would continue to live, albeit as a blind man, and would regain the lost faculty once the errant deity returned to his post. One by one, the deities all took their turns leaving the body, but the man continued to live on, though successively impaired in various ways. Finally, when Mukhya Prāna started to leave the body, all the other deities started to be inexorably pulled off their posts by force, 'just as a powerful horse yanks off pegs in the ground to which he is bound.' This caused the other deities to realize that they can function only when empowered by Vayu, and can be overpowered by him easily. In another episode, Vāyu is said to be the only deity not afflicted by demons of sin who were on the attack. The Chandogya states that one cannot know Brahman except by knowing Vāyu as the udgitha (the mantric syllable 'om').

Followers of Dvaita philosophy hold that Mukhya-Vāyu incarnated as Madhvacharya to teach worthy souls to worship the Supreme God Vishnu and to correct the errors of the Advaita philosophy. Madhvacharya himself makes this claim, citing the Rig Veda as his evidence.

Pavan is also a fairly common Hindu name. Pavan had played an important role in Anjana's begetting Hanuman as her child. Hence Hanuman is also called Pavan-Putra (son of Pavana) and Vāyu-Putra."
For More ino see Ramakian Tales for a fun reading.

Monday, August 18, 2008

กำเนิดรามเกียรติ์

รามะยะณะ - รามเกียรติ์

Gumpagan the Yak of Ramakian Legend
Ramakian is one of Thailand's greatest literary works, and is taught in all schools from a very early age.
เรื่องของพระรามเป็นเรื่อง ที่แพร่หลายมากครับ เรื่องของพระรามก็จะดังที่สุด ในประเทศอินเดีย ชึ่งเป็นต้นกำเนิดเรื่องรามะยะณะ ของ บรรดาพราหม ฮินดู บัญหาแตกต่างด้านเนือเรื่อง ก็เกิดขึ้นกับหลายบทที่ได้แต่ง อย่างต่างจาก ที่อื่น ในแต่ละประเทศต่างๆ ที่เรื่องพระราม และ รามเกียรติ์ ได้ไปอาศัยเป็นวรรณคด ของประเทศนั้นๆ
ในประเทศไทยมีเรื่องพระรามอยู่ หลายสำนวน เช่น รามเกียรติ์ฉบับต่างๆ ๐ พระรามชาดก และ พระลัก-พระลาม วึ่งมีรายละเอียดที่ต่างกัน ดังนั้น การทำให้เข้าใจเรื่องพระรามเป็นลึกซึ้ง ก็ค่อนข้างจะยาก หากผู้อ่านผู้สึกษา มีภูมิหลังไม่เหมือนกัน อาธิ ช่วมาเลเซีย ที่มีความคุ้นเคยกับเรื่อง หิกะยัตศรีราม มาดูโขน เรื่องรามเกียรติ์ของไทยเรา เค้าก็จะไม่เข้าใจเท่าไหร่ครับผม


Ramakian is taken from the Hindu Epic the "Ramayana"
The names of the characters in the story have been adapted for Thai language, some are similar, and some completely distinct.


The Ramayana was written purportedly in the third century B.C. by the Forest Hermit Valmiki. The Brahman Hindus, however, believe that Rama was a real person, there are a few different sacred locations in India which may indicate Rama's existence as a reality.One of them is his birth place, another being his palace. The route taken by Rama on the journey to Lanka (Sri Lanka) is also the source of several interesting things which lend to the belief in Rama's existence.
Ramayana spread throughout Southeast Asia traveklling with theTamil Indian merchants and scholars who were then trading with the Khmer kingdoms of Funan and Angkor and also to Srivijaya (what is now South Thailand), with whom economic and cultural ties had been enjoyed for a long time.
The Ramakian is adapted from the Indian Hindu Epic "Ramayana", by the Ruesi (or, Rishi, if you prefer) Waalamigi (more commonly known in the West as "Valmiki"). Valmiki composed this gigantic work of literary genius (or Historic documentation??) about 2,400 years ago. The Ramayana became extremely poular and spread around India, neighbouring countries, and the sub-continents of South East Asia. With this spread of the story, cam different entries, and versions of the adventures, trials and tribulations of Pra Ram in his quest to recover his Consort; Naang Siidaa from the clench of his Arch-Enemy, Totsagan (known as Ravana, in the Indian version).

Above Pic; Ruesi Chanok exits from his Hermitage, and searches for the place where he buried Naang Siidaa, as he found her 6 years before floating in a basket.
เมื่อนั้น พระชนกมหาฤาษี ได้ฟัง ดั่ีงทิพวารี ทาโสรจสรงลงที่กายา
จึ่งเปลื้องคากรองเปลือกไม้ ทั้งสไบหนังเสือ ออกจากป่า
ก็ลาพรตพิธีจรรยา ทรงเครื่องกษัตรา อลงกรณ์
เสร็จแล้วขึ้นรถสุวรรณมาศกับพระราชธิดาดวงสมร
ให้เลิกจัตุรงค์รีบจร ออกจากสิงขรกุฎี (บทละครเรื่องรามเกีรต์)
To understand the Ramakian story properly, it is important to be familiar with the main figures/characters in the story, in order to get a feel for the intrigues involved in this most wonderful piece of Thai Literary heritage.
In the coming weeks and months, i shall be presenting the main characters of the Ramakian and explaining their relationships to each other.
Later, i shall also catalogue the minor characters and Himapant animals that appear in the Ramakian.








The Beginning of Ramakian should really start about the time before the two Arch enemies, Ram and Totsagan were born on earth(called Rama and Ravana, in the Indian Ramayana version).
The Hero of the Epic, Prince Rama, is the "Avatar" (incarnation/manifestation) of the Deity Vishnu Narayan. In both Hindu/Brahmin, and the Thai Buddhist cosmology, Vishnu has 10 incarnations, 2 of them being the Buddha, and the future Buddha, Maitreya. Rama was another of these 10 Avatars of Vishnu.


 RamayanaAbove; Ruesi Chanok searches with the plough to find Naang Siidaa, (bottom left part of pic).He findse her after the m,agic ceremony he makes, Naang Siidaa sprouting up from the ground in the Phorb (casket) resting on a lotus flower. Then, on the bottom right of the picture, is the subsequent procession to Mithila with Naang Siidaa, and all the court entourage..

Many Ramayanas: The Diversity of a Narrative Tradition in South Asia

Throughout Indian history, many authors and performers have produced, and many patrons have supported, diverse tellings of the story of the exiled prince Rama, who rescues his abducted wife by battling the demon king who has imprisoned her. The contributors to this volume focus on these "many" Ramayanas.
While most scholars continue to rely on Valmiki's Sanskrit Ramayana as the authoritative version of the tale, the contributors to this volume do not. Their essays demonstrate the multivocal nature of the Ramayana by highlighting its variations according to historical period, political context, regional literary tradition, religious affiliation, intended audience, and genre. Socially marginal groups in Indian society--Telugu women, for example, or Untouchables from Madhya Pradesh--have recast the Rama story to reflect their own views of the world, while in other hands the epic has become the basis for teachings about spiritual liberation or the demand for political separatism. Historians of religion, scholars of South Asia, folklorists, cultural anthropologists--all will find here refreshing perspectives on this tale.

About the Author
Paula Richman is Associate Professor of South Asian Religions at Oberlin College. She is the author of Gender and Religion: On the Complexity of Symbols (Beacon 1986).
Product Details

* Paperback: 280 pages
* Publisher: University of California Press (August 29, 1991)
* Language: English
* ISBN-10: 0520075897
* ISBN-13: 978-0520075894
* Product Dimensions: 8.8 x 5.8 x 0.8 inches
* Shipping Weight: 13.6 ounces
Buy Now

Movies Online Well worth Watching

โฆษณา